ขอสวัสดีทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อกวัดเกตการามของพวกเรา
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวกันก่อนนะครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้จัดทำ
ด.ช.ภพธรรม ตันสุหัช (ภพ)
ด.ช. หน่อแสง ลุงแสง (แสง)
ด.ช.วธยุท ใจยา (เกมส์)
พวกเรากำลังศึกษาอยู่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวักเกตการามเชียงใหม่
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
บล็อกวัดเกตการามนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องขอบคุณบล็อกจากกูเกิล ที่มีพื้นที่ให้พวกเราได้นำเสนอผลงานนำเสนอเนื้อหาสาระต่างๆที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจประวัติความเป็นมาและสถานที่สำคัญใน
วัดเกตการาม ก่อนอื่นต้องขอแนะนำประวัติความเป็นมาของย่านวัดเกตการามกันก่อนนะครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประวัติความเป็นมาของย่านวัดเกตการาม
ในสมัยก่อน วัดเกตเป็นย่านการค้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก เป็นชุมชนใหญ่ เนื่องจากย่านนี้ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิงที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่มาหล่อเลี้ยงประชากรที่อาศัยอยู่ทั้งสองฟากฝั่ง ทุกบ้านที่ทำการค้าจะมีท่าเรือเป็นของตนเอง ใช้เรือหางแมงป่อง (หรือเรือสะดอ เรือสีดอ เรือแม่ปะ) เป็นพาหนะขึ้นล่องตามลำน้ำปิง
นอกเหนือจากคนจีนแล้ว ย่านวัดเกตยังมีคนเชื้อชาติอื่นอพยพเข้ามาอยู่ ได้แก่
- ชาวอเมริกันที่เป็นคริสเตียน ได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนา มีการตั้งโรงพยาบาลแมคคอร์มิค โรงเรียนดารา วิทยาลัย โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน มหาวิทยาลัยพายัพ (พัฒนาจากวิทยาลัยพยาบาลและผดุงครรภ์แมคคอร์มิค) ทั้งยังตั้งโบสถ์คริสจักรหลายแห่งเพื่อเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของคริสเตียน
- ชาวอังกฤษเข้ามาทำไม้ (บริษัทบอร์เนียว)
- ชาวฝรั่งเศสเข้ามาเพื่อเหตุผลทางการเมือง
- ชาวฝรั่งเศสเข้ามาเพื่อเหตุผลทางการเมือง
- ชาวซิกข์จากแคว้นปัญจาบในอินเดีย เมื่อ 90 ปีมาแล้วมาตั้งวัดอยู่คนละฝั่งถนนเล็กๆ
- คนจีนยูนนาน หรือเรียกว่า จีนฮ่อ มีทั้งฮ่อภาห้ากินเนื้อหมู นับถือศาสนาพุทธ ฮ่อภาษีกินเนื้อภาษ นับถือศาสนาอิสลาม
- มุสลิมที่ไม่ใช่คนจีน มีโรงเรียนและสุเหร่าตั้งอยู่ในย่านนี้ด้วย
- และผู้มีบทบาทสำคัญในด้านแรงงานยุคนั้นได้แก่ ขมุ ที่มาจากเมืองชัยบุรีในประเทศลาว
- และผู้มีบทบาทสำคัญในด้านแรงงานยุคนั้นได้แก่ ขมุ ที่มาจากเมืองชัยบุรีในประเทศลาว
ทุกเชื้อชาติที่กล่าวมานี้ มีการแต่งงานผสมผสานกลมกลืนกลายเป็นคนเมืองย่านวัดเกต เป็นการอยู่
ร่วมกันอย่างสันติ เคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน เอื้ออาทรต่อกันประดุจพี่น้อง นับได้ว่าบ้านวัดเกต เป็นศูนย์รวมคนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างศาสนา โดยมีคนเชื้อสายจีนนับถือศาสนาพุทธเป็นคนส่วนใหญ่ในย่านนี้ อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่ควรคำนึงต่อไปก็คือ การทำให้ย่านวัดเกต เป็นย่านที่อยู่เย็นเป็นสุข สามารถรักษาของเก่าเอาไว้ เพื่อบอกเล่าตำนานความเป็นมาได้ ตลอดจนอาจใช้เป็นที่รับแขกอีกแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ ในแง่ของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม เพราะย่านวัดเกตเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีบ้านอายุ 80 -90 ปี แบบล้านนาเหลืออยู่มาก
ในยุคที่ ครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้พระครูศัพทสุนทร เปรียญ 3 ประโยค วัดเบญจมบพิตร เป็นพระครูปริยัติยานุรักษ์มาอยู่เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467 ตามข้อความในตราตั้งดังนี้ "ขอพระคุณเจ้าจงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์ และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในพระอารามโดยสมควร จงเจริญสุขสวัสดิ์ในพระพุทธศาสนาเทอญ"
ท่านพระครูปริยัติยานุรักษ์ (สุดใจ) เป็นคนบ้านวัดเกต เป็นพระผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งทางบริหารและทางอักษรศาสตร์ เป็นที่นับถือของคนทั่วไป เป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากในการทำให้ วัดเกต เป็นวัดพัฒนา เจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียงโด่งดังไปไกล มีการเริ่มเปิดสอนหนังสือให้เด็กๆ ประมาณปี พ.ศ. 2470 เรียกว่าโรงเรียนชั้นมูล โดยใช้ศาลาบาตรเป็นสถานที่สอน ต่อมาพัฒนาเป็นโรงเรียนวัดเกตการามในปัจจุบัน
ในยุคนั้น พระครูชัยศีลวิมล (เมืองใจ สุธัมโม พ.ศ. 2429 - 2500) เป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะอำเภอพร้าว ท่านเป็นพระที่สมถะ รักใคร่สามัคคีกับท่านพระครูปริยัติยานุรักษ์เป็นอย่างดี ภาพที่เด็กๆยุคนั้นจำได้คือ พัดลมผ้าที่แขวนติดเพดานในกุฏิของท่าน หรือที่เรียกในปัจจุบันว่า โรงตุ๊เจ้าหลวง อาคารหลังนี้มีโครงการบูรณะแล้วใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ของวัดเกต
ตามธรรมดาของโลก เมื่อมีเจริญก็ย่อมมีเสื่อม อาคารเก่าแก่ก็เริ่มมีการชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2542 มีคณะศรัทธากลุ่มหนึ่งดำริที่จะทุบศาลาบาตรทิ้ง เพื่อสร้างศาลาเอนกประสงค์สองชั้นแทน นับเป็นบุญของชาววัดเกต ที่เป็นจังหวะเดียวกับที่มีการจัดทัวร์ศิลปวัฒนธรรม โดยสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งได้เข้ามาพบว่า วัดเกตมีของดีที่ควรอนุรักษ์ไว้ จึงได้มีการระงับการทุบทิ้ง และในเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2542 มีการจัดเสวนา "ฮ่วมกึ๊ดฮ่วมใจ๋ พัฒนาวัดเกต" ชาวบ้านวัดเกตจึงเกิดความตื่นตัว เริ่มตระหนักในคุณค่าเอกลักษณ์ของสิ่งมีค่าที่มีอยู่ นับได้ว่านักวิชาการจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ในเชียงใหม่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกรมศิลปากร เป็นผู้จุดประกายให้ชาวบ้านวัดเกตตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม เกิดความหวงแหน มีความรู้สึกเป็นเจ้าของมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านั้น มีความกระตือรือร้น ในการอนุรักษ์และพัฒนา วัดเกตร่วมกัน นอกจากนั้นกรรมาธิการสถาปนิกล้านนา สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เข้ามาช่วยวางผังการใช้พื้นที่ภายในวัดโดยไม่คิดค่าใช่จ่าย

ถึงแม้ว่าชาวบ้านจะมีวิถีชีวิตที่ปรับเข้ากับสภาพสังคมในปัจจุบัน แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงมีแบบแผนการดำเนินชีวิตที่สะท้อนความเป็นคนดั้งเดิม มีร่องรอยของอดีต ชาวบ้านมีภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สืบทอดกันมา และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในอนาคตสืบไป....
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประวัติวัดเกตการาม
ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 18 -19 องศาเหนือ เส้นแวงที่ 99 องศาตะวันออก อยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงตอนบน เป็นที่ราบที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก และตั้งบ้านเรือนแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ อยู่ทางฝั่งตันออกของแอ่งเชียงใหม่-ลำพูน อยู่ระหว่างทิวเขาถนนธงชัยกลาง และทิวเขาผีปันน้ำตะวันตกตามแนวเหนือใต้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางความเจริญของอาณาจักรล้านนาในอดีต ปัจจุบันมีการคมนาคมไปสะดวกทั้งทางบกและทางอากาศ ส่วนทางน้ำได้เลิกไปหลังจาก พ.ศ. 2464 เป็นต้นมา เมื่อทางรถไฟ ทางรถยนต์ และทางอากาศยานเข้ามามีบทบาทแทน วัดเกตการาม ตั้งอยู่เลขที่ 96 บ้านวัดเกต ถนนเจริญราษฎร์ ตำบลวัดเกต อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ทั้งหมด 6 ไร่ 1 งาน 51 ตารางวา อาณาเขตทิศเหนือติดทางเดินสาธารณะและที่ดินราษฎร ทิศใต้จดที่ดินราษฎร (สมัย 80 ปีก่อน เป็นทางเดินสาธารณะ) ทิศตะวันออกติดถนนหน้าวัดเกต ทิศตะวันตกจดที่ดินราษฎร และถนนเจริญราษฎร์
บริเวณที่เป็นศูนย์กลางความเจริญดั้งเดิมคือบริเวณรอบๆ วัด ตามแนวถนนเจริญราษฎร์ หน้าวัดเกต เจริญเมือง ซอย 2 หรือเรียกแบบเดิมว่า บ้านหลังวัด บ้านน้ำท่า ค้อเหนือ ค้อใต้ บ้านใน บ้านหล่ายเหมือง บ้านสวนหอ บ้านหน้าวัด ความเป็นมา ความสำคัญ คุณค่าและเอกลักษณ์ วัดเกตสร้างในปี พ.ศ. 1971 สมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน (พ.ศ. 1954-1985) พระราชบิดาของพระเจ้าติโลกราช ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาในปี พ.ศ. 1981 สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย
พระเจดีย์ประธานหรือพระธาตุวัดเกต
พระวิหาร
สร้างสมันรัตนโกสินทร์ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 9 ห้อง มีเสาคู่ในรองรับหลังคาหน้าจั่วและเสาคู่นอกรับแนวหลังคาปีกนกย่อเก็จ 3 ตอน ในแนวตะวันออก - ตะวันตก หัวเสาประดับด้วยแก้วอังวะ ตัวเสามีลายทอง มีประตูทางเข้าสามทาง หลังคาทรงจั่วเรียงซ้อนกัน 5 ชั้น (คำเมืองเรียกว่า ซด) 2 ตับ งดงามยากจะหาวัดใดมาเทียบได้ อุโบสถทรงเดียวกับพระวิหาร แต่มีขนาดเล็กกว่า
สร้างสมันรัตนโกสินทร์ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 9 ห้อง มีเสาคู่ในรองรับหลังคาหน้าจั่วและเสาคู่นอกรับแนวหลังคาปีกนกย่อเก็จ 3 ตอน ในแนวตะวันออก - ตะวันตก หัวเสาประดับด้วยแก้วอังวะ ตัวเสามีลายทอง มีประตูทางเข้าสามทาง หลังคาทรงจั่วเรียงซ้อนกัน 5 ชั้น (คำเมืองเรียกว่า ซด) 2 ตับ งดงามยากจะหาวัดใดมาเทียบได้ อุโบสถทรงเดียวกับพระวิหาร แต่มีขนาดเล็กกว่า
อาคารศาลาบาตร

มีอายุประมาณร้อยปี ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ลวดลายแบบจีนเป็นรูปไก่ฟ้า ดอกบัว ดอกโบตั๋น ต้นสน และทิวทัศน์แบบจีน เดิมเคยมีศาลาหลังใหญ่ที่สร้างคู่กันกับศาลาบาตรนี้ อยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ภายในมีลวดลายมังกรใหญ่โตสวยงามอลังการมาก แต่ถูกรื้อทิ้งเพื่อสร้างอาคารโรงเรียนเทศบาลวัดเกตการาม ศาลานี้ชาวบ้านมักเรียกว่า"ศาลาเจ๊กอุย"เพราะสร้างโดยนายเหลี่ยว เนียวอุบ บรรพบุรุษของตระกูล "เหลี่ยวย่งง้วน"
มีอายุประมาณร้อยปี ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ลวดลายแบบจีนเป็นรูปไก่ฟ้า ดอกบัว ดอกโบตั๋น ต้นสน และทิวทัศน์แบบจีน เดิมเคยมีศาลาหลังใหญ่ที่สร้างคู่กันกับศาลาบาตรนี้ อยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ภายในมีลวดลายมังกรใหญ่โตสวยงามอลังการมาก แต่ถูกรื้อทิ้งเพื่อสร้างอาคารโรงเรียนเทศบาลวัดเกตการาม ศาลานี้ชาวบ้านมักเรียกว่า"ศาลาเจ๊กอุย"เพราะสร้างโดยนายเหลี่ยว เนียวอุบ บรรพบุรุษของตระกูล "เหลี่ยวย่งง้วน"
อาคารโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดเกต
เป็นศิลปะล้านนาประยุกต์ มีบันได 2 ข้าง หันหน้าเข้าหากัน บนจั่วหลังคามีไม้กลึง หน้าบันเป็นไม้ฉลุลวดลายสวยงาม ตัวอาคารเป็นไม้ เสาเป็นปูน สร้างถวายโดยจีนอินทร์และนางจิบภรรยาเมื่อปี พ.ศ. 2462 อาคารนี้มีความสวยงามกะทัดรัด จนสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศได้นำแบบไปสร้างจำลองไว้ อาคารทั้งสามหลังนี้นับว่ายังมีความสมบูรณ์อยู่มากสามารถบูรณะให้ดีดังเดิมและใช้ประโยชน์ได้ ประกอบกับการบูรณะใช้เงินงบประมาณน้อยกว่ารื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ ที่สำคัญที่สุด เป็นการดำรงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมที่แสดงถึงรากเหง้าของความเจริญรุ่งเรืองที่มีมานานของย่านวัดเกต ทั้งยังเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของภูมิภาคนี้ที่มีรูปลักษณ์ของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกลมกลืนของฝีมือช่างพื้นเมืองกับช่างคนจีน เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของวัดเกตคืออัฐเจดีย์ (กู่ หรือที่เก็บกระดูกบรรพชน) ที่เรียงรายอยู่รอบพระธาตุอย่างเป็นระเบียบ สวยงามด้วยศิลปกรรมที่ประณีต ดูแล้วลงตัวรับกับองค์พระธาตุ อัฐิบรรพชนเหล่านี้ คือผู้ที่ได้อุปัฏฐากวัดอย่างยิ่ง จึงได้รับเกียรติให้สร้างกู่รอบพระธาตุ ปัจจุบันลูกหลานของท่านก็ยังให้ความผูกพันกับวัดเกตอยู่ มิได้ทอดทิ้งแต่อย่างใด
โรงเรียนเทศบาลวัดเกตการามเริ่มแรกเปิดสอนแบบอนุบาลให้กับเด็กเล็ก เมื่อ พ.ศ. 2450 จากการริเริ่มของพระเทพวงค์ (เจ้าอธิการในสมัยนั้น )โดยมีพระเสริมพระเลิศ
มูลคนธ์ เป็นครูสอน ต่อมาพระเทพวงค์ ลาสิกขาบท เจ้าอาวาสรูปใหม่ คือ พระครูชัยศรีวิมล ได้มอบหมายให้พระครูปริยัติยานุรักษ์ เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ในการสอน พ.ศ. 2496 พระเสริม พระเลิศ มูลคนธ์ ลาสิกขาบท จึงไม่มีครูสอน ทางราชการจึงรับไปอุปการะดำเนินการและส่งครูมาสอนอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2470 เป็นโรงเรียนประชาบาล ในปัจจุบันโรงเรียนเทศบาลวัดเกตการามได้มีการเรียนการสอนตั้งแต่ในระดับชั้น อนุบาล1 - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อยู่ในเขตการศึกษาเทศบาลนครเชียงใหม่
พิพิธภัณฑ์วัดเกตการาม
ใช้เมื่อวันที่เปิดพิพิธภัณฑ์เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2542 แต่เดิมในพื้นที่ตรงนี้เป็นกุฎิเก่าของเจ้าอาวาศพระครูบาศรีลวิมล คั่นเป็นห้องๆแต่ละห้องมีพระเณรอยู่ห้องละสององค์ และไม่มีไฟฟ้าเชื่อมต่อมาภายในเลยเพราะโครงสร้างมันเป็นไม้เกรงว่าจะเกิดเพลิงลุกไหม้ได้ง่าย หลังจากเจ้าอาวาศคนแรกมรณภาพ ก็ได้พระครูญาณารการจำพรรษาอยู่ ส่วนพระเณรก็มีทั้งเด็กโตเด็กเล็กมีการจับกลุ่มมั่วสุมกัน ทั้งสูบบุหรี่ คือเด็กพวกนี้ไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร คณะกรรมการวัดเห็นไม่เหมาะไม่ควรเลยปิดกุฎิแห่งนี้และนิมนต์พระบางรูปไปอยู่ที่อื่น และได้เอาตรงนี้มาทำเป็นโกดังเก็บของ ทั้งโต๊ะเก้าอี้เก่าๆ ปิดกุฎิแห่งนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 และไม่มีการใช้งานในส่วนนี้ตั้งแต่นั้นมา ภายในนั้นมืด ครึ้ม ชื้น ไม่มีแม้แต่ไฟฟ้า จนถึงขนาดมีคนคิดที่จะรื้อทิ้งโดยมีการร่างแบบแปลนตึกใหม่นั้นเป็นโครงสร้าง ปูนสามชั้น แต่คณะกรรมการบางคนไม่ยอมแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับกุฎิแห่งนี้ จะปิดตายไปเลย ให้มันพังไปเอง เพราะข้างในนั้นซ่อมแซมยากไม่มีส่วนที่เป็นตะปู เพราะเป็นไม้ประกอบแผ่นใหญ่ๆด้านบนเท่านั้น และเมื่อมีคนเห็นว่ากุฎิแห่งนี้เป็นสมบัติของแผ่นดิน คือ คุณ
| มีดดาบสมัยก่อนที่ใช้ในการสู้รบ |
| ต้นไม้กลายเป็นหิน |
| ข้าวของเคื่องใช้ต่างๆ |
| ธงชาติไทยสมัยก่อน |
| กล้องถ่ายรูปสมัยก่อน |
| รูปถ่ายเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นสมัยก่อนซึ่งหาชมได้ยากมาก |
| จักรยานในอดีต |
| เครื่องพิมพ์ดีดทั้งของไทยและของนอก |
| ธนบัตร์ของประเทศต่างๆ |
| เตารีดสมัยก่อนใช้ความร้อนจากถ่านไฟ |
| โทรศัพท์สมัยก่อน |
| กลองสบัดไชย |
| เครื่องฉายหนังสมัยก่อน |
| ปืนที่ใช้สู้รบในอดีต |



